bitcoincasinothai-logo

คุณรู้ไหมว่า CRYPTO คืออะไร ? มาหาคำตอบไปด้วยกันเลย

สกุลเงินของcrypto คือ สกุลเงินแบบดิจิตอล ที่อยู่ภายใต้การจัดการของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ทีนี้ มาลองดูตัวอย่างแบบคร่าวๆกัน

เมื่อคุณได้ทำการขายของบางอย่างและได้รับเงินมา 1000 บาท แล้วคุณนำเงินนี้ไปฝากธนาคาร

เงิน 1000 บาทที่คุณฝากธนาคารนั้น ธนาคารก็จะนำเข้าในบัญชีธนาคารของคุณเป็นจำนวนเงิน 1000 บาท
ซึ่ง สกุลเงินของcrypto ก็จะทำงานคล้ายกับตัวอย่างข้างบนนี้ แต่มีข้อแตกต่างกันนิดหน่อย คือ

เมื่อคุณ ดาวน์โหลดโปรแกรม สกุลเงินของ crypto wallet มา โปรแกรมนี้ก็จะสร้างที่อยู่บัญชี หรือ Address ให้กับคุณ คล้ายๆกับบัญชีธนาคารนี่แหละ และเมื่อคุณขายสินค้าได้ แล้วทางลูกค้าจ่ายเงินให้คุณผ่านทาง crypto ระบบก็จะโอนเข้าบัญชี crypto ของคุณให้เลย

เปรียบเทียบง่ายๆ สกุลเงินของ crypto wallet ก็คือ สมุดบัญชีธนาคารนั่นเอง

โดย ADDRESS ก็เปรียบเสมือนกับเลขบัญชีธนาคาร

Block chain คือ ระบบการจัดการฐานข้อมูล ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ เพื่อความปลอดภัยเละเชื่อถือได้ ทำให้เรามั่นใจในการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์มากขึ้น

 

ส่วน Crypto คือ เงินตรา ที่มีค่าตามจริงในโลกออนไลน์

 โดยหากเป็นระบบธนาคาร ธนาคารจะบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรมต่างๆทางการเงินไว้ในระบบบัญชีของธนาคาร แต่ทาง สกุลเงินของ crypto นั้น จะบันทึกข้อมูลธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดไว้ที่ Block Chain ซึ่ง Block Chain นี้ จะบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรมทั้งหมด และมีความปลอดภัยขั้นสูงในการรักษาข้อมูลต่างๆอีกด้วย

โดยเงินตราที่ใช้กันในปัจจุบัน จะถูกควบคุมโดยรัฐบาล ผ่านทางธนาคารต่างๆ

แต่สำหรับ Crypto นั้น จะแตกต่างออกไปตรงที่ Crypto เกิดการการจัดการโดย miners ซึ่ง miners นี้ คือ บุคคลที่ทำหน้าที่ ดูแลและจัดการซอฟต์แวร์ Crypto mining บนคอมพิวเตอร์ของ miners เอง โดย mining software นี้จะทำงาน และนำรายการธุรกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นผ่านเครือข่ายทั้งหมด นำไปใส่ใน block chain เพื่อเข้าระบบและตรวจสอบก่อนที่จะนำเงินนั้นเข้าบัญชี Crypto ของคุณ

จริงๆแล้วอาจจะดูเหมือนว่าเงินCrypto นั้นได้มาง่ายๆ แค่เพียงการจัดการของ mining ซอฟต์แวร์บนคอมพิวเตอร์ก็ได้สกุลเงินนี้มาแล้ว แต่ว่าการที่มีจำนวนของ miners มากขึ้น ทำให้โอกาสในการได้รับ Crypto ก็ยากขึ้นตามไปด้วย

ค่าธรรมเนียมใน Crypto

โดยทั่วไป หากคุณโอนเงินผ่านทางธนาคารต่างๆ หรือแม้กระทั่งการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ก็มักจะมีค่าธรรมเนียมตามมาด้วยเสมอ ไม่มากก็น้อย

ดังนั้น ใน Crypto ก็มีเช่นกัน เมื่อคุณตกลงกับ miners เรื่องค่าธรรมเนียมเอาไว้ สำหรับการทำรายการธุรกรรมให้คุณ คุณก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับ miners ตามนั้น หรือหากคุณเลือกที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมให้ miner เลย ก็สามารถทำได้เช่นกัน

แต่ถ้า คุณ ให้ค่าธรรมเนียมกับ miner มากเท่าไหร่ การทำธุรกรรมของคุณก็จะรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้การทำธุรกรรมใดๆทั้งหมด จะถูกบันทึกไว้ใน block chain เพื่อความปลอดภัย และตรวจสอบได้นั่นเอง

เราจะยืนยันการโอนเงินอย่างไร และจะสามารถเชื่อถือ CRYPTO ได้มากน้อยแค่ไหน

ปัจจุบันโลกของเราหรือแม้แต่ประเทศ ไทย ของเราก็ตาม เวลาจะโอนเงินไปต่างประเทศ หรือในประเทศก็แล้วแต่ หรือแม้ทั้งการถอน การโอน การฝากหรือการจ่าย จะต้องผ่านตัวกลางคือธนาคาร เพราะธนาคารเป็นสิ่งเดียวที่จะรับรองกับเราได้ว่ามีการโอนจริง ฝากจริง ถอนจริง และจ่ายจริง ซึ่งเราก็เชื่อตามนั้นเพราะธนาคารจะออกใบรับรอง หรือเรียกว่าสลิปนั่นเอง โดยทางธนาคารจะเก็บค่าบริการค่าธรรมเนียมจากทำธุรกรรมนั้นๆ จนกระทั้งในปี 2008 ค่าเงิน USD ได้ตกต่ำเป็นประวัติการณ์ ดังนั้นทางผู้เกี่ยวข้องได้

ทำการแก้ปัญหาด้วยการพิมพ์เงินเข้าระบบเพื่อทุกคนจะได้มีเงินไปใช้หนี้หรือจับจ่ายกันต่อไป โดยไม่ต้องมีทองมารับประกันมูลค่าของพันธบัตรที่พิมพ์เพิ่มเติมไป โดยหลังจากที่ข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป จึงมีคนบุคคลหนึ่งคิดวิธีการทำให้มูลค่าของเงินออมนั้นเพิ่มขึ้น เพราะจากการแก้ไขปัญหาจากทางอเมริกาดูเหมือนว่าเป็นการกระทำที่ไม่น่าเชื่อถือ นึกจะพิมพ์เงินขึ้นมาเฉยๆก็ทำ เหมือนใครอยากได้เงินเท่าไหร่ก็พิมพ์ขึ้นเอาโดยไม่มีหลักประกันใดๆ จึงทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในอเมริกา และทั่วโลกรวมถึงประเทศ ไทย ท้ายสุดจึงมีคนที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto ได้กล่าว ค่าธรรมเนียมที่ให้อยู่ทุกๆวันนั้นแพงมากเกินไป เวลาจะใช้จ่ายเงินสด หรือโอนข้ามประเทศก็คิดอัตราค่าธรรมเนียมที่สูงมากเกินจริง ทั้งนี้เงินที่ออมไว้ใช้ยามชราก็ไม่มีหลักประกันได้ว่าถึงเวลานั้นเงินดังกล่าวจะมีมูลค่าอยู่หรือไม่

ด้วยเหตุนี้คุณ Satoshi Nakamoto ได้กำหนดค่าเงิน Crypto  ขึ้นมาบนโลกอินเตอร์เน็ต โดยแทนที่จะให้ธนาคารเป็นคนโอนหรือเป็นผู้กระทำธุรกรรม จึงได้หันมาใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain เป็นระบบที่เปรียบเสมือนตัวกลางในการทำธุรกรรมทางเงิน ทีนี้มาเข้าใจกันก่อนว่าเทคโนโลยี Blockchain นี่คืออะไร ทำไมถึงได้เอามาใช้ เพราะปกติแล้วการจะโอนเงินจะมีแค่ธนาคารอย่างเดียวที่สามารถมีเอกสารในมือ ที่สามารถรู้ได้ว่าเรามีเงินเท่าไหร่ พอโอนหรือไม่ และหลังจากที่ทางเราโอนเสร็จแล้ว ทางธนาคารก็จะไปแจ้งบัญชีปลายทางว่า บัญชีผู้โอนเงินมีเพียงพอและทำการโอนเงินให้เป็นที่เรียบร้อย จากนั้นทางธนาคารก็จะคิดค่าธรรมการโอนยอดดังกล่าว แต่เทคโนโลยีของระบบ Blockchain นี้เปิดให้ทุกคนมีเอกสารข้อมูลทางบัญชี หรือเรียกว่าเป็นข้อมูลสาธารณะ คือทางเราสามารถรับทราบ และตรวจสอบได้ว่าบัญชีใดมีเงินเท่าไหร่ ทำการโอนให้ใคร หรือแม้แต่รับต่อกันอย่างไร

การเปิดบัญชี CRYPTO

 

ปัจจุบันโลกของเราหรือแม้แต่ประเทศ ไทย ของเราก็ตาม เวลาจะโอนเงินไปต่างประเทศ หรือในประเทศก็แล้วแต่ หรือแม้ทั้งการถอน การโอน การฝากหรือการจ่าย จะต้องผ่านตัวกลางคือธนาคาร เพราะธนาคารเป็นสิ่งเดียวที่จะรับรองกับเราได้ว่ามีการโอนจริง ฝากจริง ถอนจริง และจ่ายจริง ซึ่งเราก็เชื่อตามนั้นเพราะธนาคารจะออกใบรับรอง หรือเรียกว่าสลิปนั่นเอง โดยทางธนาคารจะเก็บค่าบริการค่าธรรมเนียมจากทำธุรกรรมนั้นๆ จนกระทั้งในปี 2008 ค่าเงิน USD ได้ตกต่ำเป็นประวัติการณ์ ดังนั้นทางผู้เกี่ยวข้องได้

ทำการแก้ปัญหาด้วยการพิมพ์เงินเข้าระบบเพื่อทุกคนจะได้มีเงินไปใช้หนี้หรือจับจ่ายกันต่อไป โดยไม่ต้องมีทองมารับประกันมูลค่าของพันธบัตรที่พิมพ์เพิ่มเติมไป โดยหลังจากที่ข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป จึงมีคนบุคคลหนึ่งคิดวิธีการทำให้มูลค่าของเงินออมนั้นเพิ่มขึ้น เพราะจากการแก้ไขปัญหาจากทางอเมริกาดูเหมือนว่าเป็นการกระทำที่ไม่น่าเชื่อถือ นึกจะพิมพ์เงินขึ้นมาเฉยๆก็ทำ เหมือนใครอยากได้เงินเท่าไหร่ก็พิมพ์ขึ้นเอาโดยไม่มีหลักประกันใดๆ จึงทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในอเมริกา และทั่วโลกรวมถึงประเทศ ไทย ท้ายสุดจึงมีคนที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto ได้กล่าว ค่าธรรมเนียมที่ให้อยู่ทุกๆวันนั้นแพงมากเกินไป เวลาจะใช้จ่ายเงินสด หรือโอนข้ามประเทศก็คิดอัตราค่าธรรมเนียมที่สูงมากเกินจริง ทั้งนี้เงินที่ออมไว้ใช้ยามชราก็ไม่มีหลักประกันได้ว่าถึงเวลานั้นเงินดังกล่าวจะมีมูลค่าอยู่หรือไม่

ด้วยเหตุนี้คุณ Satoshi Nakamoto ได้กำหนดค่าเงิน Crypto  ขึ้นมาบนโลกอินเตอร์เน็ต โดยแทนที่จะให้ธนาคารเป็นคนโอนหรือเป็นผู้กระทำธุรกรรม จึงได้หันมาใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain เป็นระบบที่เปรียบเสมือนตัวกลางในการทำธุรกรรมทางเงิน ทีนี้มาเข้าใจกันก่อนว่าเทคโนโลยี Blockchain นี่คืออะไร ทำไมถึงได้เอามาใช้ เพราะปกติแล้วการจะโอนเงินจะมีแค่ธนาคารอย่างเดียวที่สามารถมีเอกสารในมือ ที่สามารถรู้ได้ว่าเรามีเงินเท่าไหร่ พอโอนหรือไม่ และหลังจากที่ทางเราโอนเสร็จแล้ว ทางธนาคารก็จะไปแจ้งบัญชีปลายทางว่า บัญชีผู้โอนเงินมีเพียงพอและทำการโอนเงินให้เป็นที่เรียบร้อย จากนั้นทางธนาคารก็จะคิดค่าธรรมการโอนยอดดังกล่าว แต่เทคโนโลยีของระบบ Blockchain นี้เปิดให้ทุกคนมีเอกสารข้อมูลทางบัญชี หรือเรียกว่าเป็นข้อมูลสาธารณะ คือทางเราสามารถรับทราบ และตรวจสอบได้ว่าบัญชีใดมีเงินเท่าไหร่ ทำการโอนให้ใคร หรือแม้แต่รับต่อกันอย่างไร

โดยเทคโนโลยีนี้จะมีการสร้างข้อมูลเ

 

 

 

วิธีการทำงานของ CRYPTO

ปัจจุบันโลกของเราหรือแม้แต่ประเทศ ไทย ของเราก็ตาม เวลาจะโอนเงินไปต่างประเทศ หรือในประเทศก็แล้วแต่ หรือแม้ทั้งการถอน การโอน การฝากหรือการจ่าย จะต้องผ่านตัวกลางคือธนาคาร เพราะธนาคารเป็นสิ่งเดียวที่จะรับรองกับเราได้ว่ามีการโอนจริง ฝากจริง ถอนจริง และจ่ายจริง ซึ่งเราก็เชื่อตามนั้นเพราะธนาคารจะออกใบรับรอง หรือเรียกว่าสลิปนั่นเอง โดยทางธนาคารจะเก็บค่าบริการค่าธรรมเนียมจากทำธุรกรรมนั้นๆ จนกระทั้งในปี 2008 ค่าเงิน USD ได้ตกต่ำเป็นประวัติการณ์ ดังนั้นทางผู้เกี่ยวข้องได้

ทำการแก้ปัญหาด้วยการพิมพ์เงินเข้าระบบเพื่อทุกคนจะได้มีเงินไปใช้หนี้หรือจับจ่ายกันต่อไป โดยไม่ต้องมีทองมารับประกันมูลค่าของพันธบัตรที่พิมพ์เพิ่มเติมไป โดยหลังจากที่ข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป จึงมีคนบุคคลหนึ่งคิดวิธีการทำให้มูลค่าของเงินออมนั้นเพิ่มขึ้น เพราะจากการแก้ไขปัญหาจากทางอเมริกาดูเหมือนว่าเป็นการกระทำที่ไม่น่าเชื่อถือ นึกจะพิมพ์เงินขึ้นมาเฉยๆก็ทำ เหมือนใครอยากได้เงินเท่าไหร่ก็พิมพ์ขึ้นเอาโดยไม่มีหลักประกันใดๆ จึงทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในอเมริกา และทั่วโลกรวมถึงประเทศ ไทย ท้ายสุดจึงมีคนที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto ได้กล่าว ค่าธรรมเนียมที่ให้อยู่ทุกๆวันนั้นแพงมากเกินไป เวลาจะใช้จ่ายเงินสด หรือโอนข้ามประเทศก็คิดอัตราค่าธรรมเนียมที่สูงมากเกินจริง ทั้งนี้เงินที่ออมไว้ใช้ยามชราก็ไม่มีหลักประกันได้ว่าถึงเวลานั้นเงินดังกล่าวจะมีมูลค่าอยู่หรือไม่

ด้วยเหตุนี้คุณ Satoshi Nakamoto ได้กำหนดค่าเงิน Crypto  ขึ้นมาบนโลกอินเตอร์เน็ต โดยแทนที่จะให้ธนาคารเป็นคนโอนหรือเป็นผู้กระทำธุรกรรม จึงได้หันมาใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain เป็นระบบที่เปรียบเสมือนตัวกลางในการทำธุรกรรมทางเงิน ทีนี้มาเข้าใจกันก่อนว่าเทคโนโลยี Blockchain นี่คืออะไร ทำไมถึงได้เอามาใช้ เพราะปกติแล้วการจะโอนเงินจะมีแค่ธนาคารอย่างเดียวที่สามารถมีเอกสารในมือ ที่สามารถรู้ได้ว่าเรามีเงินเท่าไหร่ พอโอนหรือไม่ และหลังจากที่ทางเราโอนเสร็จแล้ว ทางธนาคารก็จะไปแจ้งบัญชีปลายทางว่า บัญชีผู้โอนเงินมีเพียงพอและทำการโอนเงินให้เป็นที่เรียบร้อย จากนั้นทางธนาคารก็จะคิดค่าธรรมการโอนยอดดังกล่าว แต่เทคโนโลยีของระบบ Blockchain นี้เปิดให้ทุกคนมีเอกสารข้อมูลทางบัญชี หรือเรียกว่าเป็นข้อมูลสาธารณะ คือทางเราสามารถรับทราบ และตรวจสอบได้ว่าบัญชีใดมีเงินเท่าไหร่ ทำการโอนให้ใคร หรือแม้แต่รับต่อกันอย่างไร